ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

การทำนาข้าวอินทรีย์

เรื่อง การทำนาอินทรีย์


การทำนาข้าวปลอดสารพิษ เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมการเกษตรทฤษฎีใหม่โดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ข้าวสำหรับการบริโภคอย่างปลอดภัย ไร้สารพิษ รักษาสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ปลอดภัย ถูกสุขลักษณะ สมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากหรือมีโรคน้อยที่สุด
               การที่เกษตรกรนิยมใส่ปุ๋ยและสารเคมีต่างๆ  ในพื้นที่การเกษตร  ซึ่งสะสมในดินและต้น น้ำลำธาร  ก่ออันตรายต่อชีวิตที่อยู่โดยรอบ  รวมถึงผู้บริโภคและตัวเกษตรกรเอง  ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านบ้านโนนสะอาด  อ.คอนสวรรค์  จ.ชัยภูมิ  จึงรวมตัวกันเป็นกลุ่มเกษตรกรผลิตข้าวอินทรีย์และปุ๋ยอินทรีย์ขึ้น  โดยได้รับการอบรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนประสบความสำเร็จ  สภาพสมบูรณ์ของที่นาเริ่มกลับคืนมา 
นางกองสี  ต่อพันธ์ เปิดเผยว่า  ในอดีตเกษตรกรที่ทำนาประสบปัญหาหน้าดินแข็ง  ต้นข้าวเกิดโรคระบาด  เติบโตช้า  ได้ผลผลิตน้อย  ได้พยายามหาทางแก้ไขมาตลอด   แต่ไม่สำเร็จ  ชาวบ้านจึงรวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่มขึ้นมาเมื่อปี พ..2547   โดยมีผู้นำหมู่บ้านโนนสะอาด เป็นผู้ริเริ่มพาชาวบ้านทำนาอินทรีย์ คือ นาย กองทัพ  เดชทิพย์  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับโครงสร้างการผลิตเน้นเศรษฐกิจพอเพียง  ส่งเสริมการเกษตรแบบอินทรีย์ลดสารเคมีตกค้าง  ฟื้นฟูธรรมชาติให้ลูกหลาน  เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองแก่สมาชิกในการจำหน่ายผลผลิต  เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  โดยลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีต่างๆ  และเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีการลงแขกเกี่ยวข้าว  และที่สำคัญช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันในสังคมชนบท
ชาวบ้านโนนสะอาดโดยการจัดตั้งกลุ่มเกษตรอินทรีย์ขึ้น เพื่อให้ชาวบ้านโนนสะอาด อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ที่สนใจเข้าร่วมกลุ่ม เพื่อฝึกทำปุ๋ยและยาฆ่าแมลงด้วยตนเอง และ นำกลับไปใช้ในแปลงนาของตัวเองได้
ต่อมาได้ทำน้ำหมักจากสีเขียว เช่น  พืชตระกูลถั่วและปุ๋ยอินทรีย์ชนิดผง  น้ำหมักสกัดจากผลไม้สด  น้ำหมักจากหอยเชอรี่  และซากสัตว์ต่างๆ  จนสามารถทำเองได้เป็นอย่างดี  รวมไปถึงการทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ใส่นาข้าว  ซึ่งมีวิธีทำคือ
นำมูลสัตว์ แกลบ ใบไม้แห้ง เศษหญ้า หรืออินทรียวัตถุอื่น ๆ น้ำ 1 ปี๊บ 
จุลินทรีย์  2  ช้อนโต๊ะ  ผสมให้เข้ากันกับน้ำจากผลไม้คั้น  กากน้ำตาล  ให้พอหมาดๆ  บรรจุกระสอบที่มีรูระบาย  เมื่อผ่านไป  2-3  วันจับดูจะรู้สึกร้อนประมาณ  45-50  องศาเซลเซียส  แสดงว่าทำถูกต้องตามขั้นตอน  จากนั้นหมักทิ้งไว้  5  วัน  เมื่อเย็นลงก็สามารถนำไปใช้ได้  และต้องเก็บไว้ในที่ร่มไม่ให้ถูกความชื้นและความร้อน
ประโยชน์ของการทำนาข้าวอินทรีย์
1.ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตมากขึ้น  โดยต้นทุนในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพียงแค่ ประมาณ 200 บาทต่อไร่ โดยอาจะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากในตอนแรกแต่จะค่อยๆลดลงเมื่อดินดีแล้ว ในขณะที่การใช้ปุ๋ยเคมีจะได้ผลผลิตประมาณ 400 กิโลกรัมต่อไร่ โดยต้นทุนการผลิตประมาณ 400 บาทต่อไร่ และต้องเพิ่มปริมาณปุ๋ยให้มากขึ้นในทุกๆ ปี
2.ได้สภาพแวดล้อมที่สมบรูณ์กลับคืนมา ดินร่วนซุย รากข้าวชอนไชหาอาหารง่าย กบ กุ้ง ปลา ชุกชุม มีสุขภาพชีวิตที่ดี มีอาหารปล่อยสารพิษไว้บริโภค

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ภูมิปัญญาท้องถิ่น

เรื่องการทำนาอินทรีย์

          จากการลงพื้นที่บ้านโนนสะอาด อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิเพื่อศึกษาการทำนาข้าวอินทรีย์ของชาวบ้านหมู่บ้านโนนสะอาด อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ได้สัมภาษณ์นางกองสี ต่อพันธ์ได้ข้อมูลดังนี้
          การทำนาข้าวอินทรีย์ เริ่มเมื่อปี พ.ศ.2547 โดยมีผู้นำหมู่บ้านโนนสะอาด เป็นผู้ริเริ่มพาชาวบ้านทำนาอินทรีย์ คือ นาย กองทัพ เดชทิพย์ เริ่มจากนายกองทัพ เดชทิพย์ ทำนาอินทรีย์กับครอบครัวก่อนและทำปุ๋ยอินทรีย์ ยาฆ่าแมลงด้วยการทำจากพืชชนิดข่มเมื่อทำนาอินทรีย์แล้ว นายกองทัพ เดชทิพย์ ได้รู้แล้วว่า การทำนาอินทรีย์มีต้นทุนที่ต่ำ และได้ผลผลิตที่ดี ได้กำไรดี ต่อมาได้เผยแพร่ความรู้เรื่อง การทำนาอินทรีย์ให้กับชาวบ้านโนนสะอาดโดยการจัดตั้งกลุ่มเกษตรอินทรีย์ขึ้น เพื่อให้ชาวบ้านโนนสะอาด อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ที่สนใจข้าร่วมกลุ่ม เพื่อฝึกทำปุ๋ยและยาฆ่าแมลงด้วยตนเอง และ นำกลับไปใช้ในแปลงนาของตัวเองได้


การทำนาข้าวอินทรีย์

          การทำนาข้าวอินทรีย์เป็นการทำนาข้าวที่ปลอดสารพิษ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเกษตรทฤษฎีใหม่โดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ข้าวสำหรับการบริโภคอย่างปลอดภัย ไร้สารพิษ รักษาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมปลอดภัย ถูกสุขลักษณะ สมบรูณ์แข็งแรง ปราศจากโรคหรือมีโรคน้อยที่สุด เมื่อคนแข็งแรงทั้งกายและใจแล้ว จะได้ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมเพื่อให้เกิดผลดี โดยส่วนใหญ่จะมี ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคเหนือ ตามลำดับ

ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพันธุ์ข้าว การคัดเลือกพันธุ์ข้าว

            1.คัดเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะกับพื้นที่นา เช่น พันธุ์ข้าว ก.ข.6 จะชอบพื้นที่ในที่ลุ่มมีน้ำ ขังตลอด ตั้งแต่ปักดำจนถึงออกรวงและมีแป้ง จึงจะปล่อยน้ำออกจากคันนาได้และ ได้ผลผลิตดีแต่ ถ้าเป็นข้าวหอมมะลิขึ้นได้ดีในทุกพื้นที่ ขอแต่ให้มีน้ำขังเนื่องจากการทำนาสิ่งสำคัญคือ ต้องมีน้ำ

            2.การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าว คัดเลือกแปลงข้าวที่มีต้นข้าว รวงข้าว เมล็ดข้าวที่โตแข็งแรง เมล็ดข้าวแก่จัด เมล็ดข้าวมีความสมบรูณ์ ถอนออกเป็นรวงๆ ที่สมบรูณ์ที่สุด เก็บไว้ต่างหากแล้วนำมาแยกเมล็ดข้าวและฟางข้าวออกจากกัน จากนั้นนำเมล็ดมาฝัด เพื่อคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ไม่สมบรูณ์ออก แล้วนำเมล็ดข้าวที่คัดเลือกว่าดีแล้วตากแห้ง แล้วเก็บไว้ทำพันธุ์ในปีต่อไป

ขั้นตอนที่ 2 การเตรียมพื้นที่ทำนา

           1.การเตรียมคูคันนา การทำนาจะต้องเตรียมคูคันนาให้มีความสูงประมาณ 50 – 70 เซนติเมตรความหนา 60 – 80 เซนติเมตร เพื่อกักเก็บน้ำเพราะข้าวจะขาดน้ำไม่ได้ ถ้าไม่มีน้ำขัง จะเกิดวัชพืชในนาข้าวทำให้ข้าวเจริญเติบโตช้าเสียเวลาในการกำจัดวัชพืช คันนาควรใส่ท่อระบายน้ำเพราะถ้าช่วงแรกในการปักดำไม่ควรให้ระดับน้ำสูงกว่า 10 เชนติเมตร เพราะต้นข้าวยังไม่แข็งแรงพอถ้ามีนำในแปลงนามากจะทำให้ข้าวเน่าได้ ควรมีท่อระบายน้ำออก

          2.ปรับพื้นที่ในคันนาให้มีระดับเท่ากัน อย่าให้มีน้ำเสียด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อจะได้ขังน้ำอยู่ระดับเดียวกัน ถ้าหากพื้นที่นามีความลุ่ม มีระดับพื้นที่ในระดับเดียวกันก็ๆไม่มีความจำเป็นในการปรับพื้นที่

ขั้นตอนที่ 3

          หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวเสร็จ พื้นที่นายังมีฟางข้าว มีหญ้า ควรนำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ หว่านทั่วไปโดยเฉลี่ย 200 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ แล้วฉีดพ่นด้วยน้ำยาจุลินทรีย์ให้ทั่ว แล้วไถกลบฟางข้าว จุลินทรีย์จะช่วยย่อยสลายฟางข้าวให้เน่าเปื่อย ทำให้ดินร่วนซุย เป็นอาหารของข้าวต่อไป สำหรับขั้นตอนนี้ควรทำในช่วงเดือนธันวาคม เพราะในช่วงนี้เป็นหน้าหนาว มีหมอกลง เหมาะในการขยายตัวของเชื้อจุลินทรีย์

ขั้นตอนที่ 4

          นำน้ำจุลินทรีย์มาหมักเมล็ดข้าว โดยให้น้ำจุลินทรีย์ท่วมเมล็ดข้าว หากมีเมล็ดข้าวฟูน้ำให้เก็บออกให้หมด ควรแช่เมล็ดข้าวประมาณ 2 – 3 วันแล้วนำขึ้นจากน้ำมาพักไว้ สัก 1 วัน แล้วนำมาหว่านในแปลงที่เตรียมไว้

ขั้นตอนที่ 5 การเตรียมพื้นที่สำหรับเพาะต้นข้าว

          พอถึงฤดูการทำนา ถ้าหากปีไหนฝนดีคือฝนตกในช่วงเดือนมิถุนายน ควรเตรียมพื้นที่สำหรับกล้าพันธุ์ข้าว ซึ่งมีหลักพิจารณาดังนี้

          1.ที่ดินร่วนซุย

          2.อยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น สระน้ำ หนองน้ำ ถ้าหากฝนทิ้งช่วง จะได้อาศัยจากแหล่งน้ำได้

วิธีการเตรียมแปลงเพาะกล้าพันธุ์ข้าว

          1.ที่มีน้ำขังที่พอจะหว่านกล้า เราก็และคลาดดินให้ร่วนซุยและระดับพื้นเสมอกันปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2 -3 ชั่งโมง แล้วนำเมล็ดข้าวที่เตรียมไว้มาหว่านอย่าให้หนาหรือแน่นจนเกินไป

          2.ประมาณ 10 – 15 วันต้นกล้าตั้งหน่อได้แข็ง นำน้ำจุลินทรีย์ หรือน้ำพ่นต้นกล้าโดยผสมน้ำจุลินทรีย์ 3 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตรพ่นให้ทั่วแปลงกล้า

          3.ขังน้ำใส่ต้นกล้า อย่าให้น้ำขาดจากแปลงกล้า

          4.ก่อนจะถอนกล้า 5 วัน ให้นำจุลินทรีย์พ่นอีกเพื่อจะได้ถอนง่าย เพราะรากจะฟู

ขั้นตอนที่ 6 การปักดำ

          ในช่วงก่อนการปักดำ เราควรขงน้ำไว้ในนาเพื่อจะให้ดินนิ่ม ดินไม่แข็ง ง่ายในการไถดำ เราควรจะกักน้ำเอาไว้

           1.พอถึงเวลาดำนาเราควรปล่อยน้ำที่ขังออกจากคันนา ให้เหลือไว้ประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร อย่าให้น้ำมากหรือน้อยจนเกินไปถ้าน้ำมากจะทำให้ข้าวเปื่อย ถ้าน้ำน้อยหากฝนขาดช่วงจะทำให้ข้าวขาดน้ำ เพราะการทำนายังอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

          2.ไถนาและคลาดที่นาให้ดินร่วนซุยและนำต้นกล้ามาปักดำ ซึ่งกำหนดความห่างระหว่างต้นให้ห่างประมาณ 40 เซนติเมตร เพื่อให้แตกกอได้ดีและใส่ต้นกล้า กอละประมาณ 2 – 3 ต้นกล้า

          3.เมื่อปักดำประมาณ 15 วัน นำจุลินทรีย์ไปผสมน้ำพ่นต้นข้าวในนา เพื่อกระตุ้นเชื้อจุลินทรีย์ที่หว่านตอนเตรียมดินและจะทำให้ต้นข้าวแข็งแรงเติบโต และทนต่อศัตรูข้าว

         4.คอยหมั่นดูแลต้นข้าวและดูแลระดับน้ำอย่าให้ขาดในนาข้าวหมั่นรักษาไม่ให้พืชในนาข้าวและพ่นจุลินทรีย์ในทุกๆ 20 วัน จนถึงข้าวตั้งท้องแล้วจึงงดการพ่นจุลินทรีย์แต่ยังคงรักษาระดับน้ำในคันนา อย่าให้ขาด

        5.พอข้าวแก่พอสมควรก็ปล่อยน้ำออกจากคันนา และเตรียมเก็บเกี่ยวต่อไป

ประโยชน์ของการทำนาข้าวอินทรีย์

          1.ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตมากขึ้น เพราะการใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์จะทำให้ได้ผลผลิต 800 กิโลกรัมต่อไร่ โดยต้นทุนในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพียงแค่ ประมาณ 200 บาทต่อไร่ โดยอาจะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากในตอนแรกแต่จะค่อยๆลดลงเมื่อดินดีแล้ว ในขณะที่การใช้ปุ๋ยเคมีจะได้ผลผลิตประมาณ 400 กิโลกรัมต่อไร่ โดยต้นทุนการผลิตประมาณ 400 บาทต่อไร่ และต้องเพิ่มปริมาณปุ๋ยให้มากขึ้นในทุกๆ ปี

          2.ได้สภาพแวดล้อมที่สมบรูณ์กลับคืนมา ดินร่วนซุย รากข้าวชอนไชหาอาหารง่าย กบ กุ้ง ปลา ชุกชุม มีสุขภาพชีวิตที่ดี มีอาหารปล่อยสารพิษไว้บริโภค